บันไดธุรกิจสู่โลกดิจิทัล อย่างมีประสิทธิภาพ 1.1

 ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีได้มีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราจากในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง บริษัท และผู้ประกอบการต่างๆได้ปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลด้วยการสร้างเว็บไซต์ และเพื่อเพิ่มช่องทางขายผ่านทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงความคิดและนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ในธุรกิจในยุคดิจิทัล ตั้งแต่การวางพื้นฐาน เป้าหมาย ไปจนถึงการดำเนินธุรกิจ และส่งต่อคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค  แต่ยังรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมที่องค์กรและบุคลากรทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้บริหารไปจนถึงพนักงานตำแหน่งล่างสุด จะต้องมีส่วนร่วมในการปรับตัวไปสู่ยุคนี้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มศักยภาพให้องค์กรสามารถแข่งขันในยุคที่มีการต่อสู้กันอย่างมหาศาล               Brand Analysis – วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน ของแบรนด์ ทั้งของตัวเองและคู่แข่ง อะไรคือสิ่งที่  เราสามารถทำได้ดีกว่า หรือ คู่แข่งยากที่จะลอกเลียนแบบได้เหมือน หากตัวตนหรือตัวตนของเราแข็งแกร่งก็มีช่องทางการสื่อสารให้ผู้บริโภครับชมได้อย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคจะเห็นเพียงโลโก้สีและวิธีการทำงานของโฆษณาเท่านั้นจึงสามารถจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ ตัวอย่างเช่นเมื่อคุณเดินเข้าไปในร้าน Chaps คุณจะได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน เมื่อคุณเห็นโลโก้ Swoosh สีดำก็จะนึกถึง Nike เมื่อคุณเข้าไปในร้าน Starbucks คุณจะได้กลิ่นกาแฟของประดับตกแต่งและเสียงเพลงซึ่งแตกต่างจากร้านอื่น ๆ BMW จะนึกถึง Hyundai เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ หรือตัวตนของแบรนด์ที่สร้างขึ้นเมื่อผู้บริโภครับรู้และอธิบายความหมายของแบรนด์นั้นจะสะท้อนถึงสิ่งที่แบรนด์แสดงรายการหรือเชื่อมโยงกับการรับรู้ของผู้บริโภคหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นการออกแบบของคุณก็ดี                 Goal Setting – ตั้งเป้าหมายหมายสูงสุดของธุรกิจ รวมทั้งแผนรายปี และแบ่งย่อยออกมา แต่ละเดือน เพื่อที่สามารถออกแบบกลยุทธ์จัดการและวิเคราะห์สรุปผล หรืออาจจะปรับเปลี่ยน เพื่อทำให้เข้าไปใกล้เป้าหมายได้มากที่สุด                 1 ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เป้าหมายที่ยากทำให้คนทำเต็มที่ ทำให้คนถอนเงินเยอะ 2 เป้าหมายที่ยากดีกว่าเป้าหมายที่ง่าย (เป้าหมายที่สูงทำให้เกิดความพยายามมากกว่าเป้าหมายที่ต่ำ) เพราะสามารถปลดปล่อย                 ศักยภาพและความสามารถของคนจำนวนมากได้ 3 กำหนดเวลาที่เข้มงวดทำให้คนทำงานเร็วกว่ากำหนดเวลาที่หลวม 4 การเปิดเผยเป้าหมายต่อสาธารณะทำให้ผู้คนมุ่งมั่นกับเป้าหมายมากขึ้น 5 ไม่ว่าเป้าหมายจะถูกกำหนดโดยหัวหน้างานหรือเป้าหมายร่วมกันระหว่างเจ้านายและลูกน้องเป้าหมายทั้งสองประเภทนี้จะไม่ให้ ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันในแง่ของการบรรลุเป้าหมาย                 Customer Analysis – วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า หัวใจหลักของการทำธุรกิจ   ยิ่งรู็จักลูกค้าดีมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้รู้จุดที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของคุณได้ง่ายมากขึ้น  ในโลกสื่อออนไลน์ทุกวันนี้การแข่งขันมากขึ้น แน่นอนว่าทุกธุรกิจย่อมมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาดการแข่งขันแบบนี้สินค้าที่เข้ามาอาจจะคล้าย  กับสินค้าและบริการของเรา ส่งผลให้มีการแข่งขันในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าส่วนแบ่งการตลาดก่อนแผนการตลาด จะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเราในการทำการตลาดในทิศทางที่ถูกต้อง สิ่งนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราลดต้นทุนด้วย และปรับปรุงประสิทธิภาพทางการตลาดให้ดีขึ้นการวิเคราะห์ลูกค้าหรือการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติในอดีตของกิจกรรมทางการตลาดเช่นข้อมูล Facebook ที่เราใช้ในการถ่ายโฆษณา หรือ Google ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติในอดีตที่เราต้องรวบรวมซึ่งช่วยให้เราสามารถศึกษาพฤติกรรมการคลิกดูวิดีโอหรือแม้แต่การแปลงผลิตภัณฑ์และบริการ (ผลลัพธ์ที่คาดหวัง)                 Content Planning – วางแผนการทำคอนเทนต์ ออกแบบคอนเทนต์เพื่อสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลาให้สอดคล้องกับการตัดสินใจซื้อสินค้า นั่นจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น ถึงจุดนั้นจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแบรนด์ของการตลาดเนื้อหาของคุณในทิศทางใด ๆ แต่สาระสำคัญไม่แตกต่างกันมากนัก ขั้นตอนหลักมีดังนี้                 – กำหนดเป้าหมายเนื้อหา      –…

ธุรกิจออนไลน์เติบโตไปพร้อม Chatbot

  Chatbot เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ และเพื่อช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ หากคุณใช้ Chatbotที่ชาญฉลาดสามารถตอบแชทได้ใกล้เคียงมนุษย์ตอบมากที่สุด และยังตอบคำถามได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แชทบอทมีสองประเภท: Rule-Based Bot  (เป็นไปตามกฎที่ตั้งไว้) : กำหนดกฎหลายข้อเพื่อให้ครอบคลุมบริการ ได้รับการออกแบบตามชุดข้อมูลที่บันทึกไว้ ในการทำงานของคุณคุณมักจะพบว่าการสร้าง Chatbot ประเภทนี้จำเป็นต้องมีชุดของกฎเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คุณจะใช้เนื่องจาก Chatbot ประเภทนี้ตอบได้เฉพาะคำสั่งกฎและเงื่อนไขที่คุณสร้างขึ้นเท่านั้น  Chatbot AI (ปัญญาประดิษฐ์): ปัญญาประดิษฐ์จะยากขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และความเข้าใจภาษาธรรมชาติ (NLU) เพื่อช่วยให้แชทบอทของเราเข้าใจภาษาของมนุษย์รูปแบบประโยคและความหมายที่มนุษย์ต้องการสื่อได้ดีขึ้น ขณะนี้เครื่องมือได้รับการพัฒนาที่สามารถคาดการณ์หรือให้บริการได้อย่างยืดหยุ่นเทียบเท่ากับที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ทว่า ในการใช้ Chatbot บนแพลตฟอร์มต่างๆ ของผู้ประกอบการออนไลน์ ในปัจจุปันจะเป็น Base On Rule Chatbot มากกว่า เพราะการใช้งาน Chatbot ในประเภท Base On Rule มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Chatbot AI   Chatbots มีความสำคัญในธุรกิจหลายมิติ บทบาทของ Chatbot ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายและช่วยกระตุ้นการทำงานของการขายสินค้าและบริการได้แก่ สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้าและแบรนด์ การให้ความช่วยเหลือในการตอบคำถามถามงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นสิ่งจำเป็นตลอด 24 ชั่วโมงในยุคที่ทุกอย่างต้องพัฒนาอย่างรวดเร็ว ให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ต้องรอเป็นเวลานานในการประสานงานช่วยแก้ปัญหาหรือถามคำถามเกี่ยวกับพวกเขา ระบุผลิตภัณฑ์และรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนั้นคุณไม่ควรพลาดโอกาสในการขายสินค้าในขณะนั้น Chatbot เป็นผู้ช่วยขายตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน Chatbot สามารถ ช่วยธุรกิจของคุณในการปิดการขายได้  สามารถแนะนำลูกค้าสร้างใบเรียกเก็บเงินและแนะนำลูกค้าตลอดกระบวนการชำระเงิน คุณยังสามารถช่วยบันทึกข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้แชทบอทพูดคุยและถามลูกค้าเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์และบริการ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้ บริษัท ต่างๆสามารถใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้น มีส่วนช่วยให้การขายบริการเป็นจริงอย่างทั่วถึง เพราะส่วนหนึ่งของโอกาสที่พลาดไปคือการตอบคำถามช้าบริการไม่ทั่วถึงและเร็วไม่เพียงพอในช่วงเวลาเร่งด่วน (เช่นวันหยุดยาว) จำนวนลูกค้าจะลดลงในช่วงวันหยุดยาวลูกค้าจำนวนมาก อาจใช้บริการสั่งซื้อออนไลน์ หรือในช่วงโปรโมชั่นลดการแพร่กระจายของการเพิ่มจำนวนเซลล์จะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึง หากคุณใช้พนักงานบริการในช่วงเวลานี้คุณอาจไม่สามารถตอบคำถามและสั่งซื้อได้ ให้ขายทั่วไปจนกว่าจะตอบช้าจนสุดท้ายก็พลาดโอกาสในการขายไปโดยสิ้นเชิงดังนั้น Chatbot จึงมีความสำคัญมากสำหรับการขายของออนไลน์ในยุคนี้ ช่วยลูกค้าในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลโดยตรงข้อดีอีกอย่างของ Chatbot คือสามารถเข้าถึงลูกค้าได้เร็วกว่าผู้คน และสามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์โดยละเอียดเพื่อให้ลูกค้าต้องการข้อมูลได้ทันทีเนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจและหลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะสอบถามก่อนซื้อ โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูงเช่น รถยนต์ บ้าน กล้องถ่ายรูป เป็นต้น ใช้เป็นช่องทางกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้คนในโปรโมชั่นและความรู้ข่าวสารคุณยังสามารถสร้างข้อมูลสรุปเพื่อสร้างฐานข้อมูลและสำรวจลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำโปรโมชั่นหรือแบบสำรวจแบบสอบถามและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆผ่านข้อความแชท ลดต้นทุนในการจ้างพนักงาน เนื่องจากคุณไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อจ้างพนักงานหรือผู้ดูแลระบบเพื่อตอบสนองลูกค้าแชทบอทจะเป็นประโยชน์ต่อคุณและสามารถลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ ค่าแรงที่ต่ำลงจะเปลี่ยนเป็นผลกำไรที่เพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจของคุณนั่นเอง   Chatbot ในปัจจุบันนั้นยอดเยี่ยมในเรื่องของความรวดเร็วและคล่องตัว เพื่อการแสดงอารมณ์ให้ได้ดีเยี่ยมนั้น เป็นความท้าทายที่สำคัญในการสร้างความเป็นมิตร กับอารมณ์ของมนุษย์ให้มากที่สุด สิ่งนี้จะช่วยสร้างความประทับใจที่ดีให้กับคู่สนทนาให้ได้มากที่สุด   

อ่านค่าเป็น เขียนโพสเล่นๆ ก็ได้ตังค์

ธุรกิจใหม่หลายธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาทำตลาดบนโลกออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Youtube, Tiktok หรือช่องทางอื่นๆ ต้องเคยลงโปรโมทโปรดักของตนเองบ้างแหละ แต่บางครั้งเห็นยอดคนเข้าถึงเยอะ จนคิดว่าโพสนั้นทำงานได้ จนลืมแนวคิดทางทฤษฎีไปเลยว่ามีตัวเลขสำคัญอยู่สองสามตัวที่ควรนำมาคิดคำนวณไปด้วย ลงโฆษณาไปแล้วเคยเช็คกันบ้างไหม ตัวเลขสองสามตัวที่สามารถบอกได้ว่าโพสที่เราเขียน มีประสิทธิภาพ แค่ไหน? ตัวอย่าง A = งบ (cost) 100 บาท, เข้าถึง (impression) 2,500 คน, คลิกลิ้งค์หรือส่งข้อความ (click) 90 คน ขายได้ 5 คน B = งบ (cost) 100 บาท, เข้าถึง (impression) 500 คน, คลิกลิ้งค์หรือส่งข้อความ (click) 4 คน ขายได้ 2 คน CTR (ค่ายิ่งมากยิ่งดี) คือ จำนวนคนคลิ๊กลิ้งหรือส่งข้อความจากโฆษณาของเราบ่อยแค่ไหน ค่ายิ่งมากยิ่งดี แต่ถ้าค่าน้อยกว่า 1% แสดงว่าโฆษณานั้นใช้ไม่ได้ ตัวอย่าง A = 90/2500x100 = 3.6% ค่าอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ตัวอย่าง B = 4/500x100 = 0.8% ค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่าโฆษณานั้นใช้ไม่ได้ คนดูเยอะ แต่คลิกน้อยมาก CPM (ค่ายิ่งน้อยยิ่งดี) คือ ราคาต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง แน่นอนครับค่านี้ ยิ่งน้อยยิ่งดี แล้วแค่เท่าไหร่ละที่น้อยพอ โดยภาพรวมของตลาด Facebook นั้น ค่าควรต่ำกว่า 150 แต่ถ้าต่ำกว่า 100 ก็ดีว่าดีมาก ต่ำกว่า 50 นี่ยอดเยี่ยมเลย ตัวอย่าง A = 100/2500x1000 = 40 แสดงว่าโฆษณานี้ดีเยี่ยมใช้ต้นทุนต่ำ แต่แสดงผลได้เยอะ อาจจะเนื่องจากมีคนแชร์ด้วย ตัวอย่าง B = 100/500x1000 = 200 แสดงว่าโฆษณานี้มีคนเห็นน้อย ใช้ต้นทุนไปตั้งเยอะ แต่มีคนเห็นนิดเดียว * ต้องพิจารณาด้วยว่า คนเห็นเยอะ แต่ถูกกลุ่มเป้าหมายรึเปล่า ถ้าเห็นเยอะแต่ไม่ซื้อก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าถูกกลุ่มเป้าหมาย แม้เห็นน้อยก็มีโอกาสซื้อเยอะ CPC (ยิ่งน้อยยิ่งดี) คือ ต้นทุนต่อการคลิ๊กลิ้ง หรือข้อความ แน่นอนครับ ยิ่งน้อยยิ่งดี แต่น้อยเท่าไหร่ละ อันนี้ตอบไม่ได้ครับขึ้นอยู่กับโปรดักและกำไรที่ได้มา ให้พิจารณากันเอาเอง ตัวอย่าง A = 100/90 = 1.11 ว้าววว คลิก 90 ครั้ง เฉลี่ยคลิกละบาทกว่าๆเอง แต่ขายได้ 5 คนเอง ถ้ากำไรสินค้าต่อชื้นน้อยก็คงไม่ค่อยคุ้ม ตัวอย่าง B = 100/4 = 25 โหห แพงจัง เฉลี่ยคลิกละ 25 บาทเลย แต่ขายได้ตั้ง 2 คิด คิดเป็น...

แชร์ประสบการณ์เว็บไซต์โดนแฮก ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเหยื่อ โปรดอ่าน!

ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ และหน้าเก่า หลายคนคงเคยเจอปัญหาเว็บไซต์องค์กรโดนแฮก ทำให้ลูกค้าเข้าเว็บไซต์ไม่ได้ ส่งผลให้ลดความน่าจะเชื่อถือขององค์กรลง และยังก่อเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย ซึ่งปัญหาเว็บไซต์โดนแฮกไม่ควรที่จะเป็นปัญหาจุดเล็กๆที่องค์กรไม่ใส่ใจ แต่มันควรจะเป็นปัญหาใหญ่ที่องค์กรควรจะใส่ใจ เพราะหากเกิดขึ้นบ่อยๆกับเว็บไซต์ขององค์แล้ว จะทำให้ไม่มีคนเข้าใช้งานเว็บไซต์ กระทั่งถูกลดการจัดอันดับบนหน้าการค้นหา (Search Engine) เลยก็ว่าได้ เห็นไหมครับว่าปัญหาที่กล่าวมานั้นไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเล็กๆที่หลายคนมองข้าม แต่มันเป็นปัญหาใหญ่ที่จะส่งผลในระยะยาวได้ บทความนี้จะมาพูดตั้งแต่ต้นจนจบ ว่า ก่อนที่เว็บไซต์จะโดนแฮกเป็นยังไง หลังโดนแฮกเป็นยังไง รวมถึงวิธีการแก้ไข และป้องกันไม่ให้โดนแฮกครับ อาการแบบไหนที่เรียกว่า "โดนเข้าแล้ว" อาการแรกเป็นอาการที่มันจะเจอบ่อยที่สุด คือ เข้าหน้าหลักของเว็บไซต์แล้วแสดงผลหน้าอื่นที่ไม่ใช่หน้าปกติ แล้วเขียนข้อความว่า Hacked by xxxx หรือเขียนข้อความอื่นๆ เช่น เชิญชวนมาขายตรง, เชิญมาเล่นการพนัน และในรูปแบบอื่นๆ อาการต่อไป เรียกค่าไถ่ คือ คุณแขกไม่ได้รับเชิญเค้าเอา ฐานข้อมูล ของเว็บไซต์เราไป แล้วลบฐานข้อมูลออกไป ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่เว็บไซต์ได้ เจอ Error ต่างๆนาๆ ซึ่งในที่นี้ผมจะไม่ได้กล่าวถึงว่าเป็น Error แบบไหน แต่พอให้ทางทีมงานรับทำเว็บไซต์เช็คให้ก็เจอข้อความในฐานข้อมูลว่า "Send 0.02 BTC to this address and contact this email with your ip or db_name of your server to recover your databases! Your DB is Backed up to our servers! " ต่อไปเป็นการถูกแฮก แต่ไม่แสดงอาการใดๆ กลุ่มคนพวกนี้อาจจะแค่เข้ามาลองวิชา แอบสร้างเนื้อหา สร้างหน้าใหม่ๆขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเห็น ซึ่งหน้าพวกนี้ก็มักจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์สักเท่าไหร่ และยังยังมีอีกหลากหลายอาการ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น กดเข้าเมนูต่างๆไม่ได้ เนื่องจากแฮกเกอร์แอบเข้าไปแก้ไขลิ้งต่างๆของเว็บไซต์ออก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วหลังจากบุคคลเหล่านี้สามารถแฮกเว็บไซต์เราได้แล้วมักจะใส่เครดิตไว้ (Hacked by : xxx) เหมือนกับสุนัขที่ฉี่ไว้เพื่อบ่งบอกถึงอาณาเขตของตนที่เคยไปมา ฉะนั้น เจ้าของเว็บไซต์ควรหมั่นเข้าเว็บไซต์ตัวเองเพื่อเช็คว่าเว็บไซต์ของเรานั้นยังทำงานถูกต้องอยู่ มาดูกันว่าคุณแขกไม่ได้รับเชิญเขาเข้ามาด้วยวิธีไหนบ้าง และเราจะป้องกันได้อย่างไร กว่า 90% ที่โดนแฮก คือ การตั้งรหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นควรตั้งรหัสผ่านที่มีความปลอดภัย คาดเดาได้ยาก ประกอบด้วย ตัวเลข ตัวอักษรใหญ, เล็ก และตัวอักษรพิเศษ และยิ่งยาวยิ่งดี ในที่นี้ผมจะนำเสนอวิธีการที่แฮกเกอร์มักใช้ และวิธีการป้องกันเบื้องต้น ซึ่งวิธีการป้องกันอาจจะต้องอาศัยนักพัฒนาเว็บไซต์ที่เก่งช่วยปรับตั้งค่าให้ Brute Force ลองเดาสุ่มรหัสไปเรื่อยๆ แฮกเกอร์จะพยายามล็อคอินเข้าระบบจัดการของเรา (ระบบหลังบ้าน) โดยใช้วิธีการ Brute Force หรือพูดภาษาบ้านๆคือ เดาสุ่มๆไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้าได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าแฮกเกอร์จะคอยมานั่งพิมพ์ทีละรหัสเอง พวกเค้าจะใช้ script หรือเรียกง่ายๆว่าโปรแกรม คอยเดาสุ่มไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอ วิธีการป้องกัน ควรตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัยมากที่สุด ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือใครยังไม่รู้ว่าควรตั้งยังไง แนะนำให้ไปอ่านบทความนี้ แนะนำวิธีการป้องกันจากการบุคคลไม่พึงประสงค์ เว็บไซต์ ควรมี URL เข้าระบบหลังบ้านที่คาดเดาได้ยากเช่นกัน ยกตัวอย่าง เช่น จาก /admin -> /nimdaonly บล็อค IP ไม่ให้ใช้งานชั่วคราวหากล็อคอินผิดเกิน 3 ครั้ง ตั้งค่าให้ URL เข้าระบบหลังบ้าน เข้าได้เฉพาะ IP...

เพิ่งรู้ว่า ไก่จิกเด็กตายบนปากโอง ช่วยให้คุณปลอดภัยจากแฮกเกอร์

ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ จากสถิติคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากถึง 52 ล้านคน (datareportal) และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคต และแน่นอนว่าทุกคนที่งานอินเทอร์เน็ตต้องมีบัญชีอีเมลเป็นของตนเอง และต้องมีบัญชีโซเชียลสำหรับติดต่อเพื่อนฝูง สิ่งสำคัญของการมีบัญชีเหล่านี้ คือ ต้องมีแค่คุณเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบัญชีของตัวคุณเองได้ มันคงจะไม่ดีนักหากบัญชีเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ หรือที่เราเรียกกันว่า "แฮกเกอร์" ทำไมแฮกเกอร์ต้องแฮกบัญชีของฉันด้วยละ? เงินไงละ แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะโดนแฮก แต่ทุกคนมีสิทธิโดนแฮก เพียงแค่ แฮกเกอร์ มักจะมุ่งเป้าไปที่คนที่มีหน้ามีตาทางสังคม เพราะมันเป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับพวกแฮกเกอร์ โดนหลังจากแฮกเกอร์สามารถเข้าบัญชีของเป้าหมายได้แล้ว มักจะดึงข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ในบัญชีของเรา ลองคิดกันดูครับ ว่าถ้าหากอีเมลเราตกไปอยู่ในมือของแฮกเกอร์ ข้อมูลสำคัญทุกอย่างก็จะตกไปอยู่ในมือของแฮกเกอร์ และแฮกเกอร์ก็จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกเงินจากเรา ยกตัวอย่าง เช่น เรามีภาพลับส่วนตัวอยู่ในอีเมล แฮกเกอร์จะส่งอีเมลมาขู่ให้เราโอนเงินผ่าน Bitcoin เป็นจำนวนหนึ่ง เพื่อแลกกับการไม่แฉภาพลับของเรา ***แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า เมื่อเราโอนเงินให้แล้ว แฮกเกอร์จะไม่แฉภาพของเราจริงๆ ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับ จรรยาบรรณ์ ของแฮกเกอร์ล้วนๆ ทำลาย บางครั้งแฮกเกอร์ แค่อาจจะลองวิชา อยากทำอะไรเล่นๆ ทดสอบฝีมือตนเองเพียงเท่านั้น แฮกเกอร์บางคน อาจจะแอบเข้าบัญชีเรา แล้วลบข้อมูลที่สำคัญออกไป ทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ เช่น ข้อมูลไฟล์งานสำคัญที่ต้องส่งพรุ่งนี้ หรือแม้แต่รูปภาพที่เก็บไว้เป็นเวลานานนับ 10 ปี ลองคิดดูครับว่าถ้าสิ่งเหล่านี้หายไปแล้วมันจะส่งผลกระทบยังไงกับเรา ก่อกวน แฮกเกอร์พวกนี้แค่ร้อนวิชา พวกเขามักแค่เข้ามาก่อกวน ยกตัวอย่างเช่น แอบเปลี่ยนรหัสผ่านทำให้เราเข้าถึงบัญชีไม่ได้ชั่วคราว หรือแอบโพสหน้า Wall Facebook ที่กล่าวถึงอะไรบางอย่างในทางที่เราไม่ชอบ ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกับเรา แล้วฉันจะป้องกันยังไงดีล่ะ? ตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย ควรใช้รหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก เช่น วันเดือนปีเกิด (08072536) ชื่อ (sompong) นามสกุล (kongmung) หรือคำใดๆที่สามารถสะกดได้เป็นคำ (iloveyoutoo) แล้วรหัสผ่านแบบไหนละที่ปลอดภัย รหัสผ่านที่ดีควรประกอบด้วย ตัวเลข (0-9) ตัวอักษรใหญ่ (A-Z) ตัวอักษรเล็ก (a-z) และตัวอักษรพิเศษ ("!@#$%^&*()_+.') รหัสผ่านควรมีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร ยิ่งมากยิ่งดี อ่าวแล้วแบบนี้ฉันจะจำได้หรอ? วิธีการง่ายๆที่ผมอยากจะแนะนำคือ เราสามารถพิมพ์เป็นประโยคจากภาษาไทยบนแป้นภาษาอังกฤษได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง จะได้ wdj0bdgfHd9kp[oxkdFvj' เห็นไหมครับว่ารหัสเราเป็นอะไรที่ดูจะเดายากขึ้นมาทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะจำได้ด้วยนะ หรือใครขี้เกียจมานั่งคิดรหัสผ่านก็มีเว็บไซต์หลากหลายเว็บไซต์ที่มีสามารถสร้างรหัสแบบอัตโนมัติได้ เช่น https://passwordsgenerator.net/ บัญชีควรเปิดระบบยืนยันแบบ 2 ขั้นตอน คือ แม้ว่าคุณจะล็อคอินผ่านด้วยรหัสผ่านแล้วก็ตาม แต่ก็ต้องมีการกดยืนยันอีกหนึ่งขั้นตอน เช่น มีการกรอก รหัส OTP ยืนยันที่จะส่งมาทาง SMS หรืออีเมล ผมเชื่อว่าเกือบทุกสื่อตอนนี้สามารถเปิดใช้บริการยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอนได้แล้ว โดยต้องไปที่ตั้งค่าบัญชีผู้ใช้ แล้วเปิดยืนยันแบบ 2 ขั้นตอน มือถือไม่ควรติดตั้งแอพพลิเคชันที่ไม่รู้จัก บ่อยครั้งที่เราติดตั้งโปรแกรมแปลกๆบนมือถือเรา ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้มักจะมีการติดตั้งสิ่งที่เรียกว่า มัลแวร์ เข้ามาด้วย เพื่อดึงข้อมูลทุกอย่างในมือถือเรา ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ข้อความ เบอร์โทรศัพท์ ดักฟัง หรือแม้กระทั่งแอบเปิดกล้องถ่ายรูป เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะติดตั้งแอพพลิเคชันอะไร ควรจะเช็คให้ดีก่อนติดตั้งว่าปลอดภัยหรือไม่ โดยวิธีการเช็คเบื้องต้นคือ ดูจำนวนคนใช้งาน กรณีโหลดผ่าน Google Play หรือ App Store, อ่าน Comment Review จากคนที่ติดตั้งก่อนหน้า ไม่กดลิ้งมั่วซั่ว เคยไหมครับมีข้อความแปลกๆดึงดูดให้เรากดลิ้งเข้าไป เช่น กดเพื่อลุ้นรับทอง, กรุณายืนยันบัญชีธุรกรรมทางการเงินเพื่อรับดอกเบี้ย, ติดตั้งแอพพลิเคชันเพื่อรับข้อมูลโควิดล่วงหน้า หรือข้อความอะไรก็ตามที่มักจะดึงดูดเช่นนี้ หากได้รับข้อความเช่นนี้ ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็นเหล่าบรรดาแฮกเกอร์ที่กำลังหาเหยื่อที่พร้อมจะติดเบ็ด อีเมลหลักที่ใช้ต้องไม่ตั้งรหัสผ่านเหมือนกับบัญชีอื่น แน่นอนว่าหลากหลายบัญชีเช่น...

Facebook ก็ฟรีอยู่แล้ว ทำไมฉันต้องมีเว็บไซต์ด้วยนะ?

ปัจจุบัน ผู้คนใช้สื่อ Social ในปี 2020 มากถึง 3.6 พันล้าน (Statista) ที่สำคัญคือ ใช้ฟรี ดังนั้นหลายธุรกิจอาจคิดว่า ทุกวันนี้ Social ก็ดีอยู่แล้ว ใช้ฟรีด้วย ทำไมฉันจะต้องมีเว็บไซต์ด้วยล่ะ? โพสนี้จะมาพูดถึง 5 เหุตผลว่าทำไมการมีแค่ Facebook Page จึงไม่เพียงพออีกต่อไป 1. เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนหน้าร้าน ทุกวันนี้เราต้องยอมรับว่า ผู้คนมักใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบหาข้อมูล มากกว่าที่จะโทรไปถามข้อมูล หรือเดินไปสอบถาม ดังนั้น เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนหน้าร้านค้าของคุณ ที่พร้อมจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ สินค้า/บริการ ข้อมูลติดต่อ รวมถึง รูปภาพ, รีวิวสินค้า และอื่นๆอีกมากมาย การที่ธุรกิจไม่มีเว็บไซต์ ก็เหมือนไม่มีหน้าร้าน ผมจะขอยกตัวอย่างให้เห็นแบบชัดๆหน่อยนะครับ สมมติคุณกำลังเดินอยู่หน้าปากซอย แล้วเจอใบปลิวร้านขายเสื้อผ้า ซึ่งคุณกำลังมองหาเสื้อกันหนาวๆสักตัว คุณอาจจะเดินไปที่หน้าร้านนั้นเพื่อสอบถามรายละเอียด แต่ในทางตรงกันข้ามในใบปลิวนั้นไม่มีหน้าร้าน มีเพียงเสื้อผ้าที่เก็บไว้ในบ้านพักที่อยู่ใกล้ๆ คุณก็อาจจะไม่ไปเลือกดูสินค้าที่นั่น ทำไมละ? ก็เพราะมันไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอไงละครับ ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกเหมือนกับที่ผู้คนเจอข้อมูลร้านคุณบนโลกออนไลน์ แต่คุณไม่มีเว็บไซต์ 2. เมื่อคุณมีแค่ Facebook Page คุณจะถูกจัดอันดับ (Page Rank) แบบไม่สามารถควบคุมได้ บริษัททุกๆบริษัท ต้องการขายสินค้าให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้บริษัทเติบโต จริงอยู่ที่บริษัทมีลูกค้าเก่าๆแล้ว ก็ยังใช้บริการอุดหนุนตลอดเวลา แต่สิ่งที่บริษัทต้องการมากกว่านั้นคือ ลูกค้าใหม่ สิ่งหนึ่งที่หาลูกค้าใหม่ได้ คือการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งเป็นการเพิ่มแสดงผลการค้นหาเกี่ยวกับ สินค้า/บริการ ของคุณบนโลกออนไลน์ ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆนะครับ เช่น ผมเปิดร้านให้เช่ามอเตอร์ไซต์ ซึ่งอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเป้าหมายของผมคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ โดย สิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นจะทำคือ พิมพ์คำค้นหาบน Google ว่า "เช่ามอเตอร์ไซต์ เชียงใหม่" หากคุณมีเว็บไซต์ และมีการทำ SEO ให้สามารถค้นหาเจอแล้วในอันดับต้นๆ โอกาสที่คุณจะปิดการขายบริการของคุณก็จะมีโอกาสมากยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม Facebook หรือว่าสื่อ Social Media อื่นๆ ไม่สามารถที่จะจัดการเรื่อง SEO ได้มากพอๆกับเว็บไซต์ จะมีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้ผลการค้นหานั้นขึ้นมาแสดงให้คนได้เห็น 3. Facebook ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ทั้งหมด Facebook หรือสื่อ Social Media อื่นๆ มีข้อจำกัดมากมายเกี่ยวกับการแสดงเนื้อหาทีคุณจะเพิ่มลงไป แม้ว่าคุณจะสามารถโพสเนื้อหารายละเอียดสินค้า/บริการได้ แต่คุณไม่สามารถสร้างเนื้อหาหน้าเพจเกี่ยวกับบริษัทของคุณ บริการของคุณ ตัวอย่างการใช้งานสินค้า หรืออื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเว็บไซต์ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องนี้ หรือแม้กระทั่งคุณจะเขียนบทความยาวๆที่เกี่ยวกับสินค้า/บริการที่เกี่ยวของ เว็บไซต์ก็ยังสามารถให้ข้อมูลได้ยืดหยุ่นกว่า คนที่เข้าชมก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า ผมไม่ได้ปฏิเสธว่า Facebook หรือสื่อ Social อื่นๆไม่ดีนะครับ มันเป็นสื่อกลางหนึ่งที่สามารถดึงคนเข้ามาใช้บริการได้ดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม Facebook ควรจะไม่ใช่หน้าร้านหลักของคุณ แต่ควรจะเป็นสื่อกลางที่จะคอยสนับสนุนให้กับเว็บไซต์ของคุณ ช่วยดึงลูกค้าของคุณไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์ มีฟังก์ชันการใช้งานที่สมบูรณ์ และคุณสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ถ้าคุณสนใจอยากที่จะลองสร้างเว็บไซต์ หรือสร้างหน้า Facebook Page สามารถคลิกลิ้งค์ติดต่อมาที่เราได้ เราพร้อมที่จะให้บริการปรึกษา จัดทำเว็บไซต์ในจังหวัดเชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร และทุกภูมิภาค 4. เว็บสวยด้วยมือเรา ออกแบบได้ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ดังได้ที่กล่าวมาในข้อก่อนหน้านี้ เว็บไซต์สามารถออกแบบทุกอย่างได้ แบบไม่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัด Layout การเลือกสี เมนูต่างๆ สามารถเลือกจัดวางไว้ได้ตามความต้องการ คุณจะได้เว็บไซต์ที่มีแค่ธุรกิจของคุณเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับ Facebook...

เข้าใจในผู้บริโภค = ขายได้

  จะขายของสักชิ้น ต้องคิดอะไรบ้าง โดยทั่วไป หากต้องการขายสินค้า อาจมีขั้นตอนในหลายๆ เรื่อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำธุรกิจ แต่สำหรับการทำการตลาดเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ ผู้ค้าอาจต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ อาทิ Who ลูกค้าคือใคร? ก่อนที่จะวางแผนการตลาดต้องรู้ก่อนว่า ลูกค้าของเราคือใคร? แล้วสินค้าตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้มากน้อยแค่ไหน? เพื่อเป็นเป้าหมายต่อไปในการขยายตลาด เรื่องนี้ผู้ค้าต้องใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้าผ่านการใช้เครื่องการตลาดต่างๆ ในปัจจุบัน เช่น แบบสอบถาม การให้ทดลองใช้สินค้า เก็บสถิติ รวมทั้งอาศัยหลักการอนุมานและการสังเกต ซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนเสมอ แต่ก็ถือว่าได้ข้อมูลลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในเบื้องต้น What ขายสินค้าอะไร บริการหรือสินค้า คือสิ่งที่เราต้องการจะขาย ดังนั้นต้องระบุให้ชัดเจนว่าคืออะไร การตัดสินใจที่จะเลือกหรือผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายจะต้องศึกษาตลาด ศึกษาคู่แข่งและศึกษาแนวโน้มของสินค้าเหล่านั้นด้วย ที่สำคัญคือคุณภาพของสินค้านับเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ใช้เป็นจุดแข็งในการตลาดลำดับต่อไป ในขณะที่การขายในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น จากพฤติกรรมของผู้บริโภคสินค้าอาจต้องมีจุดขายที่แตกต่างด้วย Where & When  ลูกค้าซื้อสินค้าทีไหน เมื่อไร? การเลือกทำเลที่ตั้งร้าน วัน-เวลาเปิดร้าน เป็นสิ่งสำคัญต่อการซื้อสินค้า ขณะที่การขายปัจจุบันเน้นการขายออนไลน์ ดังนั้นจึงควรเลือกแพลตฟอร์มขายออนไลน์ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายใช้งานด้วย Why ทำไมลูกค้าต้องเลือกสินค้าของเรา คำถามนี้สำคัญ เพราะนักการตลาดแนะนำว่า การจะขายสินค้าและให้ข้อมูลลูกค้าต้องเริ่มต้นที่ Why คือตอบได้เลยว่าทำไมต้องใช้สินค้าของเรา ดีอย่างไร อาทิเช่น ขายยาปลูกผม ลูกถ้าอาจไม่ได้สนใจว่าส่วนผสมมาจากอะไรบ้างในเบื้องต้น แต่ต้องการผลลัพธ์ คือใช้แล้วผมดกดำ ดังนั้นเวลาทำแคมเปญการตลาด มัวแต่ไปบอกส่วนผสม บอกผลการทดสอบ หรือแนวโน้มต่างๆ สู้บอกไปตรงๆ เลยไม่ได้ว่า ยาปลูกผมของเราใช้แล้วผมดกดำแน่นอน เพราะผู้บริโภคยุคนี้ใจร้อน อาจให้เวลาในการสนใจสินค้าใดสินค้าหนึ่งไม่นาน แต่เจ้าของแบรนด์บอกเองอาจไม่มีคนเชื่อ อาจต้องหาลูกค้า หรือคนที่ลูกค้าเชื่อมาบอกต่อ How ทำอย่างไรให้สินค้าเหนือคู่แข่ง ก่อนตัดสินใจปรับโฉมสินค้าของตัวเองให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง อันดับแรกต้องไปศึกษาสินค้าของคู่แข่งว่าเขามีดีอย่างไร ทำไมลูกค้าหลายคนถึงติดใจ โดยเราต้องนำสินค้าคู่แข่งมาเปรียบเทียบกับสินค้าของเรา และพัฒนาจุดด้อยของตนเองให้กลายเป็นจุดเด่น อย่างน้อยการทำสินค้าให้เหนือคู่แข่งต้องมีมากกว่าหนึ่ง-สองข้อ และต้องเดินนำหน้าคู่แข่งมากกว่าเดินตามหลังด้วย มีข้อมูลจากผลการศึกษา “Riding the Digital Wave: Capturing Southeast Asia’s Digital Consumer in the Discovery Generation” โดย ‘บริษัทเบน แอนด์ คอมพานี’ ร่วมกับ ‘facebook’ ทำแบบสอบถาม 12,965 คน จากประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ช่วงเดือนมิถุนายน 2562 การศึกษาในครั้งนี้ทำให้ค้นพบพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบใหม่ที่เรียกว่า “Discovery Generation” Discovery Generation คือใคร? กลุ่มผู้บริโภค Discovery Generation คือกลุ่มผู้บริโภคในช่องทางออนไลน์ มีพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่มักจะตามมาจากการค้นหาสิ่งใหม่ๆ โดยมีลักษณะพฤติกรรมที่มักจะไม่มีการวางแผนล่วงหน้าว่าพวกเขาอยากได้อะไร จากแพลตฟอร์มออนไลน์บ้าง แต่ใช้วิธีสไลด์จอดูสินค้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างที่ทำให้ตัดสินใจซื้อได้ เช่น สินค้าถูกใจเป็นพิเศษ เป็นสินค้าที่เคยตามหาซื้อ หรือมีโปรโมชันที่ตรงใจ เป็นต้น จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการผู้บริโภคในลักษณะนี้ เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่และไม่ใช่แค่ประเทศไทย ข้อมูลส่วนหนึ่งในรายงานระบุว่า จำนวนผู้บริโภคชาวดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอยู่ประมาณ 250 ล้านคนในปี 2561 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 310 ล้านคนในปี 2568 นอกจากนี้ยังพบอีกหนึ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ คือ “ความนิยมซื้อสินค้าจากหลากหลายแบรนด์ หรือเปิดกว้างสำหรับแบรนด์อื่นๆ” โดยผู้บริโภคของกลุ่มประเทศที่ถูกสำรวจเปิดกว้างรับแบรนด์ใหม่ๆ ดังนี้ สิงคโปร์ 75% ฟิลิปปินส์ 72% มาเลเซีย 70% อินโดนีเซีย 66% ไทย 65% และเวียดนาม 52% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ส่วนใหญ่ เปิดกว้างรับแบรนด์ใหม่ๆ สินค้าใหม่ๆ และไม่ยึดติดในแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง โดยผู้บริโภคเหล่านี้ต้องการสินค้าที่เหมาะกับตัวเองแบบเฉพาะเจาะจง มากกว่าแค่แบรนด์ชื่อดัง ซึ่งต่างจากในอดีต   ผู้บริโภค ‘นักค้นหา’ ในไทย รายงานฉับดังกล่าวระบุถึงพฤติกรรมผู้บริโภคแบบ Discovery Generation ในไทยก็พบตัวเลขที่น่าสนใจ ดังนี้ มากกว่า 58% ของผู้ที่ซื้อสินค้าออนไลน์ในไทย เคยลองสั่งซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนในปีที่แล้ว…

โทนสีการออกแบบ เว็บไซต์/แอปพลิเคชัน ประจำปี 2021

โทนสีการออกแบบ เว็บไซต์ หรือ แอปพลิเคชัน ประจำปี 2021 ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือผลงานอย่างใดอย่างหนึ่ง สีนับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยแสดงอารมณ์ ความรู้สึกแก่ผู้ชมได้เป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าจากประวัติศาสตร์ เราใช้สีในการสื่อสารในทุกๆแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนา วัฒนธรรม การเมือง หรือในด้านการขายสินค้า และบริการ โดยโทนสีในแต่ละยุคแต่ละสมัยมักจะเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ความรู้สึกของคน ณ ตอนนั้นเป็นหลัก ในปี 2020 จะเห็นได้ว่า เราทุกคนล้วนเจอสถานการณ์การติดเชื้อไวรัส Covid-19 สร้างวิกฤติปัญหาความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้โทนสีในปี 2021 เป็นเครื่องมือในการปลอบโยน โดยสีที่เน้น จะเป็นสีโทนอ่อนเป็นหลักจากทั้งหมด 7 สี ในบทความนี้ ได้อ้างอิงบทความจาก Trend Bible Colour Direction 2021 และ TCDC Trend 2021   หลังจากที่วางโครงเว็บไซต์ไว้เบื้องต้น ปัญหาตามมาคือเลือกสี ส่วนใหญ่จะติดปัญหาไม่น้อยว่าจะเลือกใช้สีอะไรในการออกแบบให้สวยงาม และเหมาะสมกับภาพลักษณ์ โดยในปี 2021 ได้มีการจัดโทนสีเป็นแนว แพนโทน เพื่อช่วยให้ผู้คนคล่อนคลายจากสถานการณ์ที่หนักหน่วงในช่วงปี 2020 โดยเราได้รวบรวมรายละเอียดดังต่อไปนี้   Desert Flower RGB 225 130 135   Egret RGB 243 236 244 Petunia RGB 79 52 102 Canton RGB 109 162 158 Cyan Blue RGB 21 163 199 Blue Fog RGB 155 171 187 Fiesta RGB 221 65 50  

ขั้นตอนการสร้าง Brand Identity ให้คนรู้จัก

หากคุณเป็นนักธุรกิจ หรือกำลังริเริ่มทำธุรกิจบางอย่างล้วนแล้วแต่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์ของตัวเองเป็นที่จดจำของลูกค้า ซึ่งการสร้าง “เอกลักษณ์ของแบรนด์” (Brand Identity) จะช่วยให้คุณสามารถวางภาพลักษณ์ของแบรนด์ และยังสะท้อนมุมมองต่อแบรนด์ระหว่างตัวคุณกับลูกค้า โดยในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าการสร้างแบรนด์มักมีการอาศัยโลกออนไลน์ช่วยในการสื่อสาร เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์ให้รวดเร็ว และกว้างขวางยิ่งขึ้น “เอกลักษณ์แบรนด์”  (Brand Identity) คืออะไร การสร้างหรือมองวิสัยทัศน์ของธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจ และมองเห็นภาพของธุรกิจ นอกจากนั้นยังช่วยให้เรากำหนดมุมมองของแบรนด์เราไม่ให้เหมือนใคร และเข้าใจคู่แข่งมากขึ้น กระบวนการเหล่านี้รวมไปถึงการออกแบบ Template อาทิ โลโก้ สีที่ใช้ และภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร   ทำไม “เอกลักษณ์แบรนด์” จึงสำคัญ แบรนด์นั้นมากกว่าการสร้าง Template หรือ โลโก้ขึ้นมา การสร้างแบรนด์ต้องผนวกรวมหลายสิ่งเพื่อสร้างให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีทิศทาง รวมถึงเกิดความน่าเชื่อถือ การสร้างสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณวางภาพลักษณ์ และ Position ของแบรนด์ได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งค้นหาลูกค้าที่แท้จริง   ขั้นตอนการสร้าง “เอกลักษณ์” ให้ลูกค้าจดจำ 1. สร้างภาพลักษณ์ แบรนด์ ของคุณ การสร้างภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เพื่อให้แบรนด์ มีทิศทางเดียวกัน และทีมงานมีความเข้าใจที่ตรงกัน คุณควรเริ่มค้นหาข้อมูลคู่แข่งทางการตลาด เพื่อเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสีย (SWOT Analysis) ช่วยให้ลดโอกาสสูญเสียผลประโยชน์ รวมทั้งช่วยค้นหาจุดแข็งของแบรนด์ (Value proposition) ซึ่งกระบวนเหล่านี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกับมัน เพราะเป็นการนำองค์ประกอบหลายๆด้าน มาผนวกรวมกันให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างขึ้นมา   2. ออกแบบแบรนด์ การออกแบบแบรนด์ไม่ใช่การออกแบบแค่โลโก้ คุณควรลงลึกแม้กระทั่งสีที่ใช้ควรเป็นสีโทนเข้ม เพื่อบ่งบอกความดูดีมีระดับ หรือโทนอ่อน เพื่อให้ดูอ่อนโยน รวมทั้งรูปแบบตัวอักษร ว่ามีลักษณะตรงกับภาพลักษณ์หรือไม่ เช่น มีความดูสนุกสนาน หรือดูหรูหรา เพราะองค์ประกอบทั้งหมด จะถูกนำไปใช้สื่อสารทุกช่องทางเสมอ ไม่ว่าจะบน เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และหน้าร้านค้า   3. สื่อสารให้ลูกค้ารับทราบ เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น สิ่งถัดมาคือการลงตลาดจริง ให้ผู้บริโภครับรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์ โดยคุณอาจสร้างการประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์ เช่น การโฆษณาบน Facebook และ Google การสร้างเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ชมรับรู้ถึงรายละเอียด การทำ SEO และ SEM และการลงโซเชียลมีเดียต่าง ๆ การสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์นั้น ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบันสูงมาก เนื่องจากสามารถช่วยกระจายข่าวสารได้อย่างแพร่หลาย และควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างสะดวก   4. ติดตามผล หลังจากคุณได้สื่อสารทุกอย่างออกไปแล้ว คุณควรติดตามผลการดำเนินงานตลอดเวลา เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมกับผู้บริโภคของคุณ จะช่วยให้ธุรกิจเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

มาเช็คกันว่าคุณเป็นคนแบบไหน ด้วย ทฤษฎี DISC ของนักจิตวิทยา William Moulton Marston

ในยุคสมัยนี้มีเครื่องมือ วิธีการ ที่ใช้ศึกษาคน ดูใจคนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดูโหงวเฮ้ง การสังเกต ท่าทาง ดูดวง โหราศาสตร์ ซึ่งเรียกได้ว่ามีเครื่องมือหลายชนิด แต่มีอยู่เครื่องมือหนึ่งที่ได้รับการยอมรับกันมานาน คือ การใช้ DISC เพราะไม่ใช้วิธีการที่ดูยาก และมีความแม่นยำมากพอตัวเช่นกัน DISC มาจากนักจิตวิทยาท่านหนึ่ง ชื่อ Dr.William Moulton Marston แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เจ้าของผลงาน The emotions of Normal People โดยได้จำแนกคนเราออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ซึ่งแต่ละแบบนั้นก็มีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกัน โดยหลักการดังกล่าว จะดูว่าตัวคุณนั้นมีความโดดเด่นด้านไหนมากที่สุด และโดดเด่นด้านไหนน้อยที่สุด ซึ่งก็จะลดหลั่นลงมาเรื่อยตามลำดับ แต่อย่าปล่อยให้ตัวใดตัวหนึ่งโดดเด่นมากจนเกินไป นั่นคือ ชีวิตคุณกำลังจะปัญหาเนื่องจากความไม่สมดุลกันนั่นเอง เรามาดูกันเลยว่า 4 ข้อของ DISC นั้นจะมีอะไรบ้าง D = Directive กล้าคิด กล้าทํา กล้าตัดสินใจ  ใจร้อน ตรงไปตรงมา คนสไตล์ D จะมีลักษณะคือ เป็นคนตรงไปตรงมา กล้าคิด กล้าตัดสินใจ มีความมุ่งมั่นสิ่งที่จะทำ ไม่ทำอะไรที่อยู่นอกเหนือเป้าหมาย ที่สําคัญเป็นคนมุ่งมั่นในการทํางานสูง แต่ไม่ชอบทํางานในกรอบหรือต้องถูกควบคุม พวก เขาชอบทํางานอิสระท้าทาย เน้นผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ S = Steadiness เงียบๆ สุขุม นุ่มลึก ทําตามกฎระเบียบ และแบบแผน คนสไตล์ S จะมีลักษณะเป็นคนที่ไม่ชอบเป็นจุดเด่น จุดสนใจ สุขุม ลุ่มลึก มีระเบียบแบบแผนในการทํางาน หรือการดําเนินชีวิต คิดอย่างรอบคอบ ทําทุกอย่างตามระเบียบและอยู่ในระบบ ทําให้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงและการถูกท้าทาย คนสไตล์นี้เป็นพวกอนุรักษ์นิยม | = Influence เป็นมิตร ชอบสังคม การเข้าหาผู้คน ชอบสังสรรค์รื่นเริง คนสไตล์ | จะมีลักษณะคือเป็นคนที่ใส่ใจกับความรู้สึกของคนรอบข้าง เน้นมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้คนทั่วไป ชอบงานปาร์ตี้ งานคบค้าสมาคม ที่ สําคัญ คื อ เขาจะมีความเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ทําให้สามารถเข้าหาใครต่อใครได้ง่าย แต่พวกเขาชอบที่จะทํางานหนัก หรืออุทิศตัวเองให้งาน ลักษณะอีกอย่างของคนสไตล์นี้คือเขาจะไม่ค่อยมีหลักการในการพูดมากนัก ส่วนใหญ่จะมักใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นที่ตั้งมากกว่า C = Compliance  ชอบทํางานเบื้องหลัง รอบรู้แต่ไม่โอ้อวด คนสไตล์ C จะมีลักษณะเป็นคนชอบเรียนรู้ ค้นหาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ มีข้อมูลความรู้มาก ทําให้เป็นคนรอบรู้และในขณะเดียวกันก็ยังละเอียดถี่ถ้วน ด้วยความที่เขามีความรู้มากทําให้เขาไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่ายๆ ทุกอย่างต้องมีการพิสูจน์ด้วยเหตุผลที่ชัดเจน ที่สําคัญเขาชอบทํางานเบื้องหลังและวางแผนเงียบๆ มาทดสอบกันว่าคุณเป็นคนแบบสไตล์ไหนกันนะ? หากคนไหนมีคะแนนเท่ากัน ระบบก็จะแสดง 2 สไตล์ ซึ่งหมายความว่าท่านเป็นคนที่มีบุคลิกใกล้เคียงกันกับสไตล์นั้นๆ ส่วนคะแนนรองๆ ก็คือว่าเป็นคุณสมบัติที่รองลงมาในตัวของคุณ เช่น ก. 8 ข้อ ข. 4 ข้อ ค. 1 ข้อ ง. 1 ข้อ นั่นอาจสรุปได้ว่าคุณเป็นคนสไตล์ D ชอบอิสระ ทำงานเร็ว ไม่ชอบติดอยู่ในกรอบ แต่คุณก็ยังสามารถประสานงานกับคนนอกได้เหมือน I แต่ถ้ามาทำงานแบบนั่งโน๊ตแบบ S ต้องมา มาทำงานแนวคิดวิเคราะห์แบบ C ก็เหมือนกับทรมานตัวเอง เพราะคุณไม่ชอบสิ่งเหล่านี้เลย ที่มา หนังสือบริหารงานให้ได้ผล...