ตัวช่วยในการขายและจัดการ เฟสบุ๊คเพจ (Facebook page)ให้สะดวกและจบในที่เดียว พร้อมทั้งดูสรุปผลย้อนหลังการขาย ในวันนี้เราจะพาคุณรู้จักเครื่องมือจากเฟสบุ๊ค ที่สามารถสมัคร และใช้งานได้ฟรี หากคุณเป็นผู้ขายสินค้า หรือร้านค้าออนไลน์ หลายๆ คน คงหนีไม่พ้นการใช้ช่องทาง “โซเชียลมีเดีย” (Social media) อาทิ เฟสบุ๊ค (Facebook) และ อินสตาแกรม (Instagram) ในการประชาสัมพันธ์ และขายสินค้าเป็นอย่างแน่แท้ หลายๆ ร้าน ยอมลงทุนในการทำสื่อ และโฆษณาดึงดูดให้ลูกค้า บางร้านมีการ “ไลฟ์สด” (Live stream) เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับลูกค้า ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้างความแตกต่าง และเอกลักษณ์ในร้านค้าของเราได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อร้านค้าเริ่มขยายกิจการเพิ่มขึ้น เริ่มมีพนักงานเข้ามาช่วยขายมากขึ้น ทำให้การบริหารจัดการร้านค้า และโฆษณา เริ่มเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวและวุ่นวาย บางร้านมีสินค้าหลายชนิด มีการสร้าง เฟสบุ๊คเพจ (Facebook page) หลายเพจ ต้องเสียเวลาในการเข้าดูแต่ละเพจ วันนี้ทางเราจึงอยากแนะนำเครื่องมือจากเฟสบุ๊คที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น พร้อมยังสามารถจัดการบัญชี เฟสบุ๊ค (Facebook) และ อินสตาแกรม (Instagram) ในที่เดียว ใช้งานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม Facebook Business Manager คืออะไร หากจะหาอธิบาย Facebook Business Manager อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นเครื่องมือที่ได้รวบรวม พร้อมช่วยจัดการเพจ โฆษณาสินค้า การจัดการกลุ่มลูกค้า และทีมงานขาย ทั้งหมดในที่เดียว ไม่ว่าคุณจะมีหลายเพจ มีทีมงานหลายคน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ทางผู้เขียนชอบเป็นพิเศษนั่นคือ รายงานผลการยิงโฆษณา (Facebook ads) และเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หน้าต่างการใช้งาน Facebook Business Manager Facebook Business Manager ช่วยการขายให้สะดวกขึ้นได้อย่างไร อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า ทางเฟสบุ๊คได้รวบรวมหลายฟีเจอร์ในการบริหารจัดการเพจร้านค้า หรือ ธุรกิจ ไว้ที่เดียว ในที่นี้ผู้เขียนขอยก ฟีเจอร์เด่นๆ มาเล่าให้ฟังกัน 1. สร้างโฆษณาออกเป็นหลายหมวดหมู่ หรือ แต่ละกิจกรรม สิ่งที่หน้าสนใจสำหรับการจัดการโฆษณาบน Business Manager มีความแตกต่างกับแบบทั่วไป คือ มีเมนู Ads Manager ให้เราสามารถสร้างแคมเปญโฆษณาแยกแต่ละกิจกรรม หรือโปรโมชันได้ ซึ่งจะสามารถช่วยแบ่งกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณา และเลือกจุดประสงค์ของโฆษณาชุดนั้นว่าต้องการให้มีผลกับเพจของเราอย่างไร เช่น ต้องการสร้างการรับรู้ การเพิ่มยอดขายสินค้า และการสร้าง Engagement เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญได้อีกด้วย เริ่มต้นเข้าใจโครงสร้าง Ads Manager การจะเริ่มต้นยิงโฆษณาที่ดี คงหนีไม่พ้นการเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของตัวระบบ Ads Manager ได้มีการออกแบบโครงสร้างหลัก 3 ส่วน ประกอบด้วย Campaigns, ad sets และ ads Campaigns เป็นโครงสร้างหลักสำหรับการสร้างโฆษณา ในตัวโครงสร้าง Campaigns นี้ให้คุณได้สามารถกำหนดเป้าหมายในการทำโฆษณาแก่กลุ่มลูกค้า หรือ คุณต้องการให้กลุ่มเป้าหมายมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของคุณอย่างไร โดยทางเฟสบุ๊ค ได้แบ่งหมวดหมู่ของการกำหนดเป้าหมายออกเป็น 3 แบบ ได้แก่ 1.Awareness การสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์หรือการมองเห็นแก่กลุ่มเป้าหมาย 2.Consideration การสร้างการเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์แก่กลุ่มเป้าหมาย 3.Conversion การสร้าง Action หรือการกระทำของโฆษณาแก่กลุ่มเป้าหมาย ตัวเลือกเป้าหมายในการโฆษณา Ad sets การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย…
หมวดหมู่บทความ:
ธุรกิจออนไลน์เติบโตไปพร้อม Chatbot
Chatbot เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ และเพื่อช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ หากคุณใช้ Chatbotที่ชาญฉลาดสามารถตอบแชทได้ใกล้เคียงมนุษย์ตอบมากที่สุด และยังตอบคำถามได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แชทบอทมีสองประเภท: Rule-Based Bot (เป็นไปตามกฎที่ตั้งไว้) : กำหนดกฎหลายข้อเพื่อให้ครอบคลุมบริการ ได้รับการออกแบบตามชุดข้อมูลที่บันทึกไว้ ในการทำงานของคุณคุณมักจะพบว่าการสร้าง Chatbot ประเภทนี้จำเป็นต้องมีชุดของกฎเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คุณจะใช้เนื่องจาก Chatbot ประเภทนี้ตอบได้เฉพาะคำสั่งกฎและเงื่อนไขที่คุณสร้างขึ้นเท่านั้น Chatbot AI (ปัญญาประดิษฐ์): ปัญญาประดิษฐ์จะยากขึ้น อาจจำเป็นต้องใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และความเข้าใจภาษาธรรมชาติ (NLU) เพื่อช่วยให้แชทบอทของเราเข้าใจภาษาของมนุษย์รูปแบบประโยคและความหมายที่มนุษย์ต้องการสื่อได้ดีขึ้น ขณะนี้เครื่องมือได้รับการพัฒนาที่สามารถคาดการณ์หรือให้บริการได้อย่างยืดหยุ่นเทียบเท่ากับที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ทว่า ในการใช้ Chatbot บนแพลตฟอร์มต่างๆ ของผู้ประกอบการออนไลน์ ในปัจจุปันจะเป็น Base On Rule Chatbot มากกว่า เพราะการใช้งาน Chatbot ในประเภท Base On Rule มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า Chatbot AI Chatbots มีความสำคัญในธุรกิจหลายมิติ บทบาทของ Chatbot ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายและช่วยกระตุ้นการทำงานของการขายสินค้าและบริการได้แก่ สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกค้าและแบรนด์ การให้ความช่วยเหลือในการตอบคำถามถามงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นสิ่งจำเป็นตลอด 24 ชั่วโมงในยุคที่ทุกอย่างต้องพัฒนาอย่างรวดเร็ว ให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ต้องรอเป็นเวลานานในการประสานงานช่วยแก้ปัญหาหรือถามคำถามเกี่ยวกับพวกเขา ระบุผลิตภัณฑ์และรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนั้นคุณไม่ควรพลาดโอกาสในการขายสินค้าในขณะนั้น Chatbot เป็นผู้ช่วยขายตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน Chatbot สามารถ ช่วยธุรกิจของคุณในการปิดการขายได้ สามารถแนะนำลูกค้าสร้างใบเรียกเก็บเงินและแนะนำลูกค้าตลอดกระบวนการชำระเงิน คุณยังสามารถช่วยบันทึกข้อมูลลูกค้าเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้แชทบอทพูดคุยและถามลูกค้าเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์และบริการ และจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้ บริษัท ต่างๆสามารถใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้น มีส่วนช่วยให้การขายบริการเป็นจริงอย่างทั่วถึง เพราะส่วนหนึ่งของโอกาสที่พลาดไปคือการตอบคำถามช้าบริการไม่ทั่วถึงและเร็วไม่เพียงพอในช่วงเวลาเร่งด่วน (เช่นวันหยุดยาว) จำนวนลูกค้าจะลดลงในช่วงวันหยุดยาวลูกค้าจำนวนมาก อาจใช้บริการสั่งซื้อออนไลน์ หรือในช่วงโปรโมชั่นลดการแพร่กระจายของการเพิ่มจำนวนเซลล์จะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึง หากคุณใช้พนักงานบริการในช่วงเวลานี้คุณอาจไม่สามารถตอบคำถามและสั่งซื้อได้ ให้ขายทั่วไปจนกว่าจะตอบช้าจนสุดท้ายก็พลาดโอกาสในการขายไปโดยสิ้นเชิงดังนั้น Chatbot จึงมีความสำคัญมากสำหรับการขายของออนไลน์ในยุคนี้ ช่วยลูกค้าในการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลโดยตรงข้อดีอีกอย่างของ Chatbot คือสามารถเข้าถึงลูกค้าได้เร็วกว่าผู้คน และสามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์โดยละเอียดเพื่อให้ลูกค้าต้องการข้อมูลได้ทันทีเนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจและหลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะสอบถามก่อนซื้อ โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูงเช่น รถยนต์ บ้าน กล้องถ่ายรูป เป็นต้น ใช้เป็นช่องทางกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้คนในโปรโมชั่นและความรู้ข่าวสารคุณยังสามารถสร้างข้อมูลสรุปเพื่อสร้างฐานข้อมูลและสำรวจลูกค้า ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำโปรโมชั่นหรือแบบสำรวจแบบสอบถามและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆผ่านข้อความแชท ลดต้นทุนในการจ้างพนักงาน เนื่องจากคุณไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อจ้างพนักงานหรือผู้ดูแลระบบเพื่อตอบสนองลูกค้าแชทบอทจะเป็นประโยชน์ต่อคุณและสามารถลดต้นทุนของผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ ค่าแรงที่ต่ำลงจะเปลี่ยนเป็นผลกำไรที่เพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจของคุณนั่นเอง Chatbot ในปัจจุบันนั้นยอดเยี่ยมในเรื่องของความรวดเร็วและคล่องตัว เพื่อการแสดงอารมณ์ให้ได้ดีเยี่ยมนั้น เป็นความท้าทายที่สำคัญในการสร้างความเป็นมิตร กับอารมณ์ของมนุษย์ให้มากที่สุด สิ่งนี้จะช่วยสร้างความประทับใจที่ดีให้กับคู่สนทนาให้ได้มากที่สุด
อ่านค่าเป็น เขียนโพสเล่นๆ ก็ได้ตังค์
แชร์ประสบการณ์เว็บไซต์โดนแฮก ถ้าคุณไม่อยากตกเป็นเหยื่อ โปรดอ่าน!
Facebook ก็ฟรีอยู่แล้ว ทำไมฉันต้องมีเว็บไซต์ด้วยนะ?
ขั้นตอนการสร้าง Brand Identity ให้คนรู้จัก
หากคุณเป็นนักธุรกิจ หรือกำลังริเริ่มทำธุรกิจบางอย่างล้วนแล้วแต่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ หรือแบรนด์ของตัวเองเป็นที่จดจำของลูกค้า ซึ่งการสร้าง “เอกลักษณ์ของแบรนด์” (Brand Identity) จะช่วยให้คุณสามารถวางภาพลักษณ์ของแบรนด์ และยังสะท้อนมุมมองต่อแบรนด์ระหว่างตัวคุณกับลูกค้า โดยในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าการสร้างแบรนด์มักมีการอาศัยโลกออนไลน์ช่วยในการสื่อสาร เพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์ให้รวดเร็ว และกว้างขวางยิ่งขึ้น “เอกลักษณ์แบรนด์” (Brand Identity) คืออะไร การสร้างหรือมองวิสัยทัศน์ของธุรกิจ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจ และมองเห็นภาพของธุรกิจ นอกจากนั้นยังช่วยให้เรากำหนดมุมมองของแบรนด์เราไม่ให้เหมือนใคร และเข้าใจคู่แข่งมากขึ้น กระบวนการเหล่านี้รวมไปถึงการออกแบบ Template อาทิ โลโก้ สีที่ใช้ และภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ทำไม “เอกลักษณ์แบรนด์” จึงสำคัญ แบรนด์นั้นมากกว่าการสร้าง Template หรือ โลโก้ขึ้นมา การสร้างแบรนด์ต้องผนวกรวมหลายสิ่งเพื่อสร้างให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีทิศทาง รวมถึงเกิดความน่าเชื่อถือ การสร้างสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณวางภาพลักษณ์ และ Position ของแบรนด์ได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งค้นหาลูกค้าที่แท้จริง ขั้นตอนการสร้าง “เอกลักษณ์” ให้ลูกค้าจดจำ 1. สร้างภาพลักษณ์ แบรนด์ ของคุณ การสร้างภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เพื่อให้แบรนด์ มีทิศทางเดียวกัน และทีมงานมีความเข้าใจที่ตรงกัน คุณควรเริ่มค้นหาข้อมูลคู่แข่งทางการตลาด เพื่อเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสีย (SWOT Analysis) ช่วยให้ลดโอกาสสูญเสียผลประโยชน์ รวมทั้งช่วยค้นหาจุดแข็งของแบรนด์ (Value proposition) ซึ่งกระบวนเหล่านี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกับมัน เพราะเป็นการนำองค์ประกอบหลายๆด้าน มาผนวกรวมกันให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างขึ้นมา 2. ออกแบบแบรนด์ การออกแบบแบรนด์ไม่ใช่การออกแบบแค่โลโก้ คุณควรลงลึกแม้กระทั่งสีที่ใช้ควรเป็นสีโทนเข้ม เพื่อบ่งบอกความดูดีมีระดับ หรือโทนอ่อน เพื่อให้ดูอ่อนโยน รวมทั้งรูปแบบตัวอักษร ว่ามีลักษณะตรงกับภาพลักษณ์หรือไม่ เช่น มีความดูสนุกสนาน หรือดูหรูหรา เพราะองค์ประกอบทั้งหมด จะถูกนำไปใช้สื่อสารทุกช่องทางเสมอ ไม่ว่าจะบน เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และหน้าร้านค้า 3. สื่อสารให้ลูกค้ารับทราบ เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น สิ่งถัดมาคือการลงตลาดจริง ให้ผู้บริโภครับรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์ โดยคุณอาจสร้างการประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์ เช่น การโฆษณาบน Facebook และ Google การสร้างเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ชมรับรู้ถึงรายละเอียด การทำ SEO และ SEM และการลงโซเชียลมีเดียต่าง ๆ การสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์นั้น ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบันสูงมาก เนื่องจากสามารถช่วยกระจายข่าวสารได้อย่างแพร่หลาย และควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างสะดวก 4. ติดตามผล หลังจากคุณได้สื่อสารทุกอย่างออกไปแล้ว คุณควรติดตามผลการดำเนินงานตลอดเวลา เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมกับผู้บริโภคของคุณ จะช่วยให้ธุรกิจเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ